โดย ยส พฤกษเวช
ไมเกรน (Migraine)
ไมเกรน (โรคปวดหัวข้างเดียว ลมตะกัง ก็เรียก) พบได้ประมาณร้อยละ 10 - 15 ของประชากรทั่วไป พบได้ในคนทุกวัย แต่พบมากในช่วงอายุ 10 - 30 ปี พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 3.5 เท่า โรคนี้มักเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรังเป็นแรมปี เริ่มเป็นครั้งแรกตอนย่างเข้าวัยรุ่น หรือระยะ
หนุ่มสาว โดยเฉพาะผู้ป่วยหญิงมักเป็นโรคนี้ตอนเริ่มมีประจำเดือน บางรายเริ่มเป็นโรคนี้ตั้งแต่เด็ก ซึ่งมักมีอาการปวดท้อง เมารถ เมาเรือด้วย มีน้อยรายที่จะมีอาการเป็นครั้งแรกเมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไป แต่ผู้หญิงที่เคยเป็นไมเกรนมาก่อน เมื่อถึงวัยใกล้หมดประจำเดือน (40 - 50 ปี) อาจมีอาการปวดศีรษะบ่อยขึ้น บางรายอาจทุเลาหรือหายไปเองเมื่ออายุมากกว่า 50 - 60 ปีขึ้นไป แต่บางรายอาจเป็นตลอดชีวิต
ไมเกรนจัดว่าเป็นโรคที่ไม่มีอันตรายร้ายแรง แต่สร้างความรำคาญน่าทรมาน และทำให้เสียการเสียงาน โรคนี้เกิดได้กับคนทุกระดับ ไม่เกี่ยวกับฐานะทางสังคมหรือระดับสติปัญญา แต่ผู้ที่มีฐานะดีหรือมีการศึกษาดีมักจะปรึกษาแพทย์บ่อยกว่า ผู้ที่เป็นโรคนี้อยู่ประจำ มักเป็นคนประเภทเจ้าระเบียบ จู้จี้จุกจิก โรคนี้ชาวบ้านเรียกว่า ลมตะกัง
สาเหตุ
โรคนี้สามารถถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ (พบว่า ประมาณ 2 ใน 3 ของ ผู้ป่วยไมเกรน มีประวัติว่ามีพ่อแม่พี่น้องเป็นโรคนี้ด้วย) และมักมีสาเหตุกระตุ้นให้เกิดอาการกำเริบในแต่ละครั้ง
ส่วนกลไกการเกิดอาการของโรคยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด สันนิษฐานว่ามีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงในการทำงานของสมอง ทั้งในส่วนเปลือกสมอง (cortex) และก้านสมอง (brain stem) ร่วมกับการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมอง ได้แก่ ซีโรโทนิน (serotonin) ( พบว่ามีปริมาณลดลงขณะที่มีอาการกำเริบ ) โดพามีน (dopamine) และสารเคมีกลุ่มอื่นๆ ส่งผลให้เกิดการอักเสบของเส้นใยประสาทสมองเส้นที่ 5 (trigeminal nerve fiber ที่เลี้ยงบริเวณใบหน้าและศีรษะ) รวมทั้งการอักเสบร่วมกับการหดและขยายตัวของหลอดเลือดแดงทั้งในและนอกกะโหลกศีรษะ ทำให้เปลือกสมอง (cortex) มีเลือดไปเลี้ยงน้อยลง กระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะและอาการร่วมต่าง ๆ ขึ้นมา
อาการ
มักมีอาการกำเริบเป็นครั้งคราว ส่วนใหญ่จะมีอาการปวดแบบตุบๆ (เข้ากับจังหวะการเต้นของหัวใจ) ที่บริเวณขมับข้างใดข้างหนึ่ง อาจปวดสลับข้างในแต่ละครั้ง ส่วนน้อยจะปวดพร้อมกันทั้ง 2 ข้าง บางรายอาจมีอาการปวดที่รอบ ๆ กระบอกตาร่วมด้วย แต่ละครั้งมักจะปวดนาน 4 – 72 ชั่วโมง และจะปวดมากขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหวของร่างกาย หรือสัมผัสถูกแสง เสียงหรือกลิ่น มักปวดรุนแรงปานกลางถึงมากจนเป็นอุปสรรคต่อการทำกิจวัตรประจำวัน ผู้ป่วยมักมีอาการคลื่นไส้ ร่วมด้วย บางรายอาจมีอาการอาเจียนร่วมด้วย ( หลังอาเจียน อาการปวดจะค่อย ๆ ทุเลาไปเอง ) ผู้ป่วยมักมีอาการกลัว ( ไม่ชอบ ) แสงหรือสีเสียงร่วมด้วย ชอบอยู่ในห้องที่มืดและเงียบ นอกจากนี้ยังอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ตาพร่ามัว คัดจมูก ท้องเดิน ปัสสาวะออกมาก ซีด เหงื่อออก บวมที่หนังศีรษะหรือใบหน้า เจ็บหนังศีรษะ มีเส้นพองที่ขมับ ขาดสมาธิ อารมณ์แปรปรวน รู้สึกศีรษะโหวง ๆ รู้สึกจะเป็นลม แขนขาเย็น เป็นต้น
สิ่งที่ตรวจพบ
มักตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติชัดเจน ขณะที่มีอาการปวด อาจคลำได้หลอดเลือดที่บริเวณขมับโป่งพอง และเต้นตุบ ๆ หรือพบอาการเจ็บเสียวที่หนังศีรษะเวลาสัมผัสถูก น้อยรายมากที่ที่อาจพบอาการแสดงของสัญญาณบอกเหตุ เช่น พูดไม่ได้ แขนขาอ่อนแรง หมดสติ
ภาวะแทรกซ้อน
ส่วนใหญ่จะเป็น ๆ หาย ๆ เป็นช่วง ๆ โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง นอกจากอาจทำให้มีความวิตกกังวลหรือซึมเศร้า บางรายอาจมีอาการปวดไมเกรนต่อเนื่อง (status migrainosus) คือ ปวดติดต่อกันนานเกิน 72 ชั่วโมง หรืออาจเป็นไมเกรนเรื้อรัง (chronic migraine) คือ ปวดมากกว่า 15 วัน/เดือน
มักจะสัมพันธ์กับโรควิตกกังวล โรคแพนิค (โรคตื่นตระหนกตกใจ) โรคอารมณ์แปรปรวนหรือซึมเศร้า มีภาวะเครียด หรือมีการใช้ยาแก้ปวดไมเกรนมากเกินไป (มากกว่า 2 – 3 ครั้ง/สัปดาห์) มีน้อยรายมากที่อาจเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดสมองจากภาวะขาดเลือดแทรกซ้อน ซึ่งมักพบในผู้หญิงที่เป็นไมเกรนชนิดมีสัญญาณบอกเหตุ (aura) ที่มีประวัติสูบบุหรี่และ / หรือกินยาเม็ดคุมกำเนิด นอกจากนี้ ผู้ป่วยไมเกรนยังอาจมีภาวะอื่น ๆ ร่วมด้วยมากกว่าผู้ที่ไม่ได้เป็นไมเกรน เช่น โรคลมชัก ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติจากกรรมพันธุ์ โรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า โรคลำไส้แปรปรวน ความดันโลหิตสูง โรคสั่นไม่ทราบสาเหตุ (hereditary essential tremor) เป็นต้น
ที่มา : ตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2 นายแพทย์สุรเกียรติ อาชานานุภาพ
อาการปวดศีรษะเรื้อรังแบบไมเกรนในทัศนะการแพทย์แผนไทย
อาการปวดที่เกิดขึ้นในร่างกายของเรา ไม่ว่าที่ใดก็ตาม แสดงว่ามีภาวะอุดตันหรือติดขัด ( ปิตตะ เสมหะ วาตะ ) เกิดขึ้น การติดขัดอาจเกิดบริเวณที่ปวด หรือบริเวณอื่นก็ได้ สำหรับอาการปวดศีรษะแบบไมเกรนในคัมภีร์นวดแผนไทย เรียกว่า เกิดลมตะกังหรือลมปะกัง อธิบายโดยย่อดังนี้
เป็นการติดขัดของเส้นอิทา เส้นปิงคลา ซึ่งเป็น 2 ใน 10 ของเส้นประธาน ตามคัมภีร์นวดแผนไทย โดยจุดเริ่มต้นของเส้นอิทาปิงคลา อยู่ห่างจากสะดือ ข้างซ้ายและขวา ประมาณ ๑ นิ้วมือ ( อิทาซ้าย ปิงคลาขวา ) แล่นลงไปบริเวณหัวเหน่า ผ่านต้นขาด้านในไปยังเหนือหัวเข่า แล้ววกกลับขึ้นมาที่ต้นขาด้านนอก แล่นขึ้นแนบกระดูกสันหลังถึงต้นคอ ขึ้นไปบนศีรษะ แล้ววกกลับผ่านหน้าผากมาจรดที่ริมจมูก
เส้นอิทา ปิงคลามีความสัมพันธ์กับระบบไหลเวียนเลือด ระบบประสาทสมอง ดังนั้นหากมีการติดขัดหรืออุดตันตามแนววิถีผ่าน ( การอุดตันของลิ่มเลือด ; หรือไขมัน ) โดยเฉพาะบริเวณต้นคอหรือภายในศีรษะ ก็จะทำให้มีอาการปวดขึ้นได้
สาเหตุที่ทำให้เส้นอิทาปิงคลา ติดขัดหรือตีบตัน มีหลายสาเหตุ เช่น กินอาหารจำเจ ( โดยเฉพาะหวาน ไขมัน โปรตีนสูง ) ไม่หลากหลาย อารมณ์ตึงเครียด ใช้ความคิดมาก พักผ่อนน้อย ตับร้อน เนื่องจากมีการติดขัดภายในตับ ภาวะเลือดหนืด หรือติดขัดตามแนววิถีผ่าน อิริยาบถไม่ถูกต้อง ( นั่ง นิ่ง เนิ่นนาน ) เช่น ใช้คอมพิวเตอร์นานเป็นประจำ อ่านหนังสือ ใช้สายตามาก อาการปวดศีรษะเรื้อรังแบบไมเกรน ควรรีบรักษาให้หายเพราะอาจลุกลามถึงขั้นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้
เมื่อสมุฏฐานทั้งสาม ( ปิตตะ เสมหะ วาตะ ) ติดขัด จึงส่งผลกระทบต่อธาตุทั้ง 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ กำเริบ หย่อน พิการ ตามมาดังนี้
ธาตุดิน : อวัยวะที่ถูกกระทบ ตับ ไต มดลูก (เส้นสิกขิณี) ต่อมลูกหมาก หรืออวัยวะสืบพันธุ์ชาย (คิชฌะ) หลอดเลือด สมอง
ธาตุน้ำ : น้ำเลือด เสมหัง (น้ำเศลษ)
ธาตุลม : ลมจันทกลา (อิทา) ลมสุริยกลา (ปิงคลา) ลมพหิ (มดลูก) ลมสัตถกะวาต (อิทา) ลมรัตนาวาต (ปิงคลา)
ธาตุไฟ : ปริทัยหัคคี (ไฟสำหรับทำให้ร้อนระส่ำระสาย)
แนวทางการรักษา ให้พิจารณามหาภูตรูป 4
ธาตุไฟ
- พัทธะปิตตะ : น่าจะมีความสัมพันธ์กับฮอร์โมนเพศ
- อพัทธะปิตตะ : กระทบร้อน กระทบเย็น อากาศอบอ้าว แสงสว่างจ้า เสียง ที่แออัดชุมชน กลิ่นฉุน กลิ่นน้ำหอม ยาคุมกำเนิด
- กำเดา : ร้อนภายใน (ตับ) ปวดหัว
ธาตุน้ำ
- ศอเสมหะ : ไขมัน ลิ่มเลือดบริเวณต้นคอ ลิ่มเลือดในสมองอุดตัน ลิ่มเลือดที่หัวใจ
- อุระเสมหะ : ไขมันที่ตับพอกพูน ลมเดินไม่สะดวก เกิดภาวะลมตีกลับ หรือลมตีขึ้นเบื้องบน
- คูถเสมหะ : ทวารหนัก ทวารเบา มดลูก อาจมีภาวะติดขัดของลิ่มเลือด ไขมันพอกพูน ลมเดินไม่สะดวก ลมตีกลับ หรือลมตีขึ้นเบื้องบน
ธาตุลม
- หทัยวาตะ : มีการติดขัดไม่สะดวก เกิดความร้อน แต่ยังไม่รุนแรง
- สัตถกะวาตะ : การไหลเวียนตามแนววิถีผ่านของเส้นอิทา ปิงคลาติดขัด
- สุมนาวาตะ : อารมณ์เครียด วิตกกังวล
ธาตุดิน
- หทัยวัตถุ : ก้อนเนื้อหัวใจทำงานหนักขึ้น
- อุทริยัง : อาหารหวาน ไขมัน อาหารซ้ำซากจำเจ
- กรีสัง : ของเสียรอการขับถ่าย ตกค้าง ลมเดินไม่สะดวก ตีกลับ หรือลมตีขึ้นเบื้องบน
พิจารณามูลเหตุของโรค
- อาหาร
: อาหารหวาน ไขมัน โปรตีนสูง อาหารซ้ำซากจำเจ ไม่หลากหลาย
เหล้า กาแฟ ยาคุมกำเนิด ฯลฯ
- อารมณ์
: ความเครียด ความวิตกกังวล
- อากาศ
: กระทบร้อน กระทบเย็น ที่แออัดยัดเยียด แสงสว่างจ้า ที่อบอ้าว
- ออกกำลังกาย
: มักขาดการออกกำลังกาย
- อิริยาบถ
: มักจะนั่ง นิ่ง เนิ่นนาน ซ้ำซากจำเจเป็นประจำ เช่น นั่งใช้คอมพิวเตอร์ ฯลฯ
- อุจจาระ ปัสสาวะ
: มักกลั้นอุจจาระ ปัสสาวะเป็นประจำ เกิดการตกค้างของของเสียที่จะต้องขับออก
- อดนอน
: พักผ่อนไม่เพียงพอ
- รอบเดือน
: ในสตรีมักจะมีปัญหารอบเดือนร่วมด้วยเสมอ
ตำรับยาที่ใช้รักษา
ยากษัยเส้น ยาแก้ปวดศีรษะ ยาบำรุงหัวใจ ยาบำรุงสมอง ยาระบาย ยาล้างพิษตับและไต ยาบำรุงโลหิต ยาฟื้นฟูระบบทางเดินอาหาร
ข้อห้าม
ห้ามใช้ยาที่มีฤทธิ์กระตุ้น, ยาที่มีฤทธิ์ร้อน
คำแนะนำ
- อาหาร
: งดอาหารหวาน ไขมัน โปรตีน ควรกินอาหารประเภทธัญพืช ข้าวกล้อง ผักสีเขียว กินให้หลากหลาย รสอาหารไม่จัด ไม่เผ็ดร้อน งดเหล้า กาแฟ ยาคุมกำเนิด (ถ้ามีผลกระทบ)
- อารมณ์
: ควบคุมอารมณ์ ไม่เครียด วิตกกังวล
- อากาศ
: หลีกเลี่ยงกระทบร้อน กระทบเย็น หรือสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบ เช่น ที่แออัด แสงสว่างจ้า ที่อบอ้าว
- ออกกำลังกาย
: ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช้าครั้งเย็นหน อย่างน้อยครั้งละ 1 ชั่วโมงเข้าชมรมสันทนาการ
- อิริยาบถ
: ยืน เดิน นั่ง นอน ให้เสมอกัน หลีกเลี่ยงภาวะนิ่ง เนิ่น นาน
- อุจจาระ ปัสสาวะ
: ห้ามกลั้นอุจจาระ ปัสสาวะ อุจจาระให้ได้วันละ 2 ครั้ง
- อดนอน
: พักผ่อนให้เพียงพอ
- รอบเดือน
: ในสตรี ดูแลรอบเดือนให้มาปกติ
- นวด
: อาทิตย์ละ 2 ครั้ง
ขอบคุณภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น