โดย ยส พฤกษเวช
“ โรคซึมเศร้า ในทัศนะแพทย์แผนไทย ”
อาการที่แสดงออกของโรคซึมเศร้า ในทัศนะแพทย์แผนไทย เกิดจากพิษของอารมณ์ กระทำโทษพิษของอารมณ์ต่าง ๆ เช่น เศร้าโศก เสียใจ ผิดหวังอย่างรุนแรง ความกลัว ความวิตกกังวล ความเครียด โกรธ ตกใจ อาฆาต พยาบาท เป็นต้น
อารมณ์ในทางแพทย์แผนไทย คือ “ สุมนาวาตะ ” สุมนาวาตะ เป็นสมุฏฐานพิเศษ ของสมุฏฐานหลัก คือ “ วาตะ ( หทัยวาตะ สัตถะกะวาตะ สุมนาวาตะ ) ”
พระคัมภีร์สมุฏฐานวินิจฉัย ได้กล่าวถึงสุมนาวาตะ ไว้ว่า
“ ด้วยเหตุว่า สุมนานี้ทั่วไปในสมุฏฐาน ทั้ง ๓ คือ หทัยวาตะ สัตถะกะวาตะ สุมนา แลอาจให้กระวนกระวายก็เพราะ สุมนา มิให้กระวนกระวายก็เพราะสุมนา ถ้าจะแก้อย่าให้เสียสุมนาสมุฏฐานเป็นอาทิ ”
นอกจากนี้ยังกล่าวอีกว่า
“ ด้วยว่า สุมนานี้ เป็นหลักแห่งสมุฏฐาน ซึ่งจะวิบัติแลมิให้วิบัตินั้น ก็อาไศรษ สมุฏฐานนี้ เปน ที่บำรุง อาจให้วัฒนะ แลหายนะ ได้โดยแท้ ”
( แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ หน้า ๔๒๘ - ๔๒๙ )
พิษของอารมณ์ ทำให้เกิด การติดขัด ของพลัง “ วาตะ ” ในอวัยวะต่าง ๆ ตลอดจนการไหลเวียนของ ของเหลว (ธาตุน้ำ ) ในอวัยวะต่าง ๆ
อวัยวะที่มีผลโดยตรง คือ ตับ ไต หัวใจ ปอด สมอง กระเพาะอาหารและลำไส้
เมื่อพลังของวาตะติดขัด ทำให้ไม่สามารถ ขับเคลื่อน พลังปิตตะ เสมหะ ให้กระจายไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ได้ทั่วถึง ส่งผลให้อวัยวะต่าง ๆ อ่อนแอลง
หากพลังของวาตะติดขัดในอวัยวะต่าง ๆ ดังกล่าว ก็จะส่งผลต่ออารมณ์ได้เช่นกัน และจะส่งผลกระทบกลับไปกลับมาตลอด นานวันเข้าจะเกิดผลร้ายที่ฝังลึก แสดงอาการที่ไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ ออกมา ทั้งทางร่างกายและทางอารมณ์ มีผลทำให้ สมองเสื่อม การทำงานของหัวใจ ตับ ไต ปอด เสื่อม สุดท้ายคนไข้จะเกิดอาการท้อแท้ สิ้นหวัง สูญเสียความมั่นใจในตัวเอง
โรคซึมเศร้า มักเกิดในผู้ที่มีจิต อารมณ์อ่อนไหว จิตไม่เข้มแข็ง จึงถูกพิษของอารมณ์กระทำโทษได้ง่าย หรือเกิดกับผู้ที่มีภาวะ ความจริงกับสิ่งที่คาดหวังไม่ตรงกัน ความจริงทำลายความคาดหวังอย่างรุนแรงและทำใจยอมรับไม่ได้ จึงเกิดพิษของอารมณ์กระทำโทษทำร้ายตัวเอง
อาการที่แสดงออก
ที่สำคัญคือ ผู้ป่วยรู้สึกซึมเศร้าหดหู่ สะเทือนใจและร้องไห้ง่าย บางครั้งอาจบอกว่ารู้สึกเบื่อหน่ายต่อสิ่งต่าง ๆ ไปหมด และจิตใจไม่รู้สึกสดชื่นเหมือนเดิม ความรู้สึกเหล่านี้จะเป็นอยู่เกือบทั้งวัน และติดต่อกันแทบทุกวัน เป็นเวลานานกว่า ๒ สัปดาห์ขึ้นไป ผู้ป่วยมักมีอารมณ์หงุดหงิด ทนเสียงดังหรือคนรบกวนไม่ได้ อยากอยู่เงียบ ๆ คนเดียว
ผู้ป่วยมักมีอาการนอนไม่หลับ หรือนอนมากกว่าปกติ อาการนอนไม่หลับมักจะเป็นแบบสะดุด กล่าวคือ ผู้ป่วยจะนอนหลับในช่วงแรกที่เข้านอน แต่พอตื่นตอนกลางดึกจะนอนไม่หลับ บางรายก็อาจมีอาการนอนหลับยากตั้งแต่แรกเข้านอน มักมีอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลด แต่บางรายอาจมีความรู้สึกอยากอาหารและน้ำหนักขึ้น
นอกจากนี้ยังอาจพบอาการอ่อนเพลียตลอดทั้งวัน ทำอะไรเชื่องช้า เฉื่อยชาลง อยากอยู่เฉย ๆ นาน ๆ (แต่บางรายอาจมีอาการกระสับกระส่าย อยู่ไม่สุข นั่งได้พักหนึ่งก็ต้องลุกขึ้นเดินไปมา) คิดนาน ขาดสมาธิ เหม่อลอย หลงลืมง่าย มีความลังเลในการตัดสินใจ ไม่มั่นใจในตัวเอง มองโลกในแง่ลบ รู้สึกว่าตนเองไร้คุณค่าหรือรู้สึกผิด กล่าวโทษหรือตำหนิตนเอง
กว่าร้อยละ ๖๐ ของผู้ป่วยมีความคิดอยากตาย โดยช่วงแรกรู้สึกเบื่อชีวิต เมื่ออาการมากขึ้นจะรู้สึกอยากตาย คิดถึงการฆ่าตัวตาย ต่อมาถึงขั้นวางแผนและวิธีการฆ่าตัวตาย และในที่สุดลงมือกระทำการฆ่าตัวตาย (พบได้ประมาณร้อยละ ๑๕ ของผู้ป่วย )
ผู้ป่วยบางรายอาจไปปรึกษาแพทย์ด้วยอาการเจ็บป่วยทางกาย เช่น อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ผอมลง เวียนศีรษะ ปวดตามส่วนต่าง ๆ ( เช่น ศีรษะ หน้าอก หลัง แขน ขา ) อย่างเรื้อรัง ประจำเดือนไม่มา ไม่มีความรู้สึกทางเพศ เป็นต้น
( ตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป นายแพทย์สุรเกียรติ อาชานานุภาพ )
แนวทางการรักษา
การใช้ยา
๑. ใช้ยาหอมไทยเพื่อกระตุ้นการทำงาน และบำรุงหัวใจ และประสาทสมอง
๒. ใช้ยาระบายขับถ่ายของเสีย ที่คั่งค้าง ติดขัด อยู่ภายใน
๓. ใช้ยาแก้ลมกระตุ้นการทำงานของระบบการไหลเวียนของเลือดลม
๔. ใช้ยาบำรุงร่างกาย บำรุงธาตุ บำรุงโลหิต
คำแนะนำ
๑. ต้องมีญาติ คอยดูแลอย่างใกล้ชิด
๒. หมั่นออกกำลังกาย กายบริหาร ด้วยการเดิน ถูกแสงแดดอ่อน ๆ ทุกวัน เช้าครั้ง เย็นหน
๓. กินอาหารที่ย่อยง่าย ใหม่สด มีคุณค่าทางโภชนาการ ไม่กินอาหารอุตสาหกรรมเด็ดขาด
๔. กินพออิ่มไม่เกินอิ่ม ห้ามกินหลัง ๖ โมงเย็น
๕. หากิจกรรมให้ทำ เช่น เล่นกีฬา เล่นดนตรี ทำงานศิลปะ ตามแต่
ผู้ป่วยสนใจ
๖. อย่าให้นอนดึก แต่ให้ตื่นแต่เช้า ๆ ออกไปเดินถูกแสงแดดอ่อน ๆ ทุกวัน
ขอบคุณภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น