โดย ยส พฤกษเวช
ฝีคัณฑสูตรฝี ( abscess ) เป็นกลุ่มของหนอง ซึ่งเป็นซากของเม็ดเลือดขาว ชนิด นิวโตรฟิล ( neutrophill ) ที่ตายแล้ว สะสมอยู่ในโพรงของเนื้อเยื่อ ซึ่งเป็นกระบวนการของการติดเชื้อ มักมีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรีย หรือปรสิต ( กิมิชาต ) หรือเกิดจากสิ่งแปลกปลอมภายนอกอื่น ๆ เช่น เศษวัสดุ กระสุน หรือเข็มทิ่ม ฝีเป็นกระบวนการตอบสนองของเนื้อเยื่อในร่างกายต่อเชื้อโรค เพื่อจำกัดการแพร่กระจายไม่ให้ไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย
โครงสร้างของฝี ภายนอกจะประกอบด้วยผนังของแคบซูลล้อมรอบ ซึ่งเกิดจากเซลล์ปกติข้างเคียงมาล้อมเพื่อจำกัดไม่ให้หนองไปติดต่อยังส่วนอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม แคบซูลที่ล้อมรอบโพรงหนองนั้นอาจทำให้เซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันไม่สามารถเข้ามากำจัดเชื้อแบคทีเรีย หรือจุลชีพก่อโรคในหนองนั้นได้
ฝี เป็นการอักเสบของต่อมไขมันและขุมขน พบได้บ่อยในคนทุกวัย ผู้ที่เป็นเบาหวานหรือกินสเตียรอยด์เป็นประจำอาจเป็นฝีได้บ่อย ส่วนใหญ่มักขึ้นหัวเดียว บางรายอาจขึ้นหลายหัวติด ๆ กัน เรียกว่าฝีผักบัว
ฝีคัณฑสูตร เป็นภาวการณ์ติดเชื้อแบคทีเรียของต่อมชนิดหนึ่ง ที่อยู่ในบริเวณขอบก้นที่สร้างเมือกหล่อลื่นขณะขับถ่าย อาจเกิดการอุดตันทำให้เกิดการอักเสบบริเวณที่อุดตันและเป็นท่อของต่อมที่หลั่งเมือกใสหล่อเลี้ยงบริเวณเยื่อบุในรูทวาร ต่อมามีการติดเชื้อและอักเสบทำให้เกิดการเป็นฝีบริเวณกล้ามเนื้อหูรูดทวาร เมื่อฝีเกิดขึ้นจะดันหนองไปอยู่ตาม ช่องว่างต่าง ๆ รอบ ๆ รูทวาร อาจแตกเองหรือไม่แตกก็ได้
อาการของโรค ในระยะแรกอาจมีอาการปวดเป็นสำคัญ เนื่องจากมีการอักเสบ อาจมีไข้ต่ำ ๆ ร่วมด้วย มักปวดตลอดเวลา ต่อมาถ้าแตกเองก็จะยุบลงและหายปวด ถ้ายังไม่แตกก็จะมีอาการบวมมากขึ้นอาจชอนไชไปแนวรอบ ๆ ก้น คลำได้เป็นไตแข็ง ๆ แต่ถ้าแตกออกก็จะมีลักษณะเป็นเมือกใส ๆ ปนหนอง ออกมา เป็น ๆ หาย ๆ พอรับประทานยาแก้อักเสบก็จะยุบลง บางครั้งหนองก็หายไป แต่ถ้าภูมิต้านทานต่ำ เช่น ดื่มเหล้า เป็นไข้หวัด ก็จะมีน้ำเมือกใสปนหนองออกมาติดกางเกงใน ให้รำคาญเป็น ๆ หาย ๆ อยู่เรื่อยไป
โดยทั่วไปฝีคัณฑสูตร มี ๒ ชนิด คือ ชนิดที่อยู่ตื้น และชนิดที่อยู่ลึก ชนิดตื้นรักษาง่ายกว่า และมีโอกาสกลับมาเป็นใหม่น้อยกว่าชนิดที่อยู่ลึก
ฝีคัณฑสูตร ในทัศนะแพทย์แผนไทย
เป็นสภาวะการติดขัด อุดตัน ของสมุฏฐาน ปิตตะ วาตะ เสมหะ ที่บริเวณ ท่อ ( อากาศธาตุ ) ของต่อมที่หลั่งเมือกหล่อเลี้ยง บริเวณเยื่อบุในรูทวาร กล่าวคือ เกิดการอุดตันของเมือกหล่อลื่น ( เสมหะ ) ทำให้การไหลเวียน ( วาตะ ) ติดขัด เกิดการสะสมพอกพูน ( ลมจับตัวเป็นก้อน ) นานเข้ามีการติดเชื้ออักเสบจึงเกิดความร้อน ( ปิตตะ ) และมีแรงดันเกิดขึ้น เพื่อที่จะขับออกจากร่างกาย ซึ่งเป็นขบวนการปกติของร่างกายที่จะต้องขับพิษออก เอามือคลำดูจะพบเป็นขอบบวม นูน และเจ็บปวดอย่างมาก และบางครั้งก็มีไข้ร่วมด้วย
อาการปวดมักปวดตลอดเวลา ต่อมาถ้าแตกหนองไหลออกมา ก็จะยุบลงและหายปวด ถ้ายังไม่แตกก็จะมีอาการปวดบวมมากขึ้น และอาจชอนไชเป็นแนวรอบ ๆ ก้น เป็นไตแข็ง ๆ ถ้าแตกออกจะมีลักษณะเป็นเมือกใสปนหนองออกมา เป็น ๆ หาย ๆ และหากมีภาวะภูมิต้านทานต่ำ เช่น ดื่มสุรา หรือเป็นไข้หวัดใหญ่ ก็จะมีน้ำเมือกใสออกมา เป็น ๆ หาย ๆ อยู่เรื่อยไป
สาเหตุ เหตุทำให้เกิดฝีคัณฑสูตร หากจะกล่าวอย่างกว้าง ๆ คือ ร่างกายมีการสะสมพิษไว้มาก และร่างกายพยายามขจัด หรือขับออก แต่ขับออกออกทางช่องทางปกติไม่ได้ จึงพยายามขับออกทางท่อของต่อมที่หลั่งเมือกหล่อเลี้ยงบริเวณเยื่อบุในรูทวาร และสาเหตุที่ทำให้ร่างกายมีการสะสมพิษและเกิดการขับออกอย่างผิดปกติมีดังนี้ คือ
- ธาตุทั้ง ๔ พิการ ทำงานผิดปกติหรือหย่อนประสิทธิภาพ สังเกตจากการทำงานของระบบทางเดินอาหารหย่อนประสิทธิภาพลง หรือเกิดภาวะเสื่อมที่เรียกว่า กษัย บางครั้งมีภาวะเยื่อบุลำไส้ส่วนล่างอาจเป็นแผลหรือเกิดริดสีดวงทวาร ของเสียเกิดการสะสมในบริเวณนี้อย่างมาก
- อาหาร มีพฤติกรรมการกินอาหารที่แสลงกับร่างกายโดยไม่รู้ตัว อาหารที่มักก่อโรค คือ อาหารที่มีรสเผ็ดร้อน อาหารหวาน อาหารมัน อาหารเหม็น อาหารคาว
- อุจจาระ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีภาวะท้องผูกเรื้อรัง และอุจจาระแข็ง
- ออกกำลังกาย มีภาวะที่ขาดการออกกำลังกายอย่างรุนแรง
- อิริยาบถ มักมีอิริยาบถ นั่ง นิ่ง เนิ่นนาน เป็นประจำ ควบคู่กับการขาดการออกกำลังกาย
- อารมณ์ มักเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ค่อยได้ มักโกรธง่าย อาฆาต พยาบาท เครียดอยู่เสมอ ๆ
แนวทางการรักษา แบ่ง เป็น ๒ ระยะ ดังนี้
๑. ระยะแรก ต้องหยุดภาวะอักเสบ บวม แดง ร้อน โดยพิจารณาดังนี้
๑.๑. ถ้าฝีบวม แดง ปวด มีหนองเหลืองข้นไหลออกมา มีไข้ ปากแห้ง อุจจาระเหนียวหนืด ชีพจร ใหญ่ ลอย ลื่น เร็ว เป็นลักษณะชีพจรเสมหะปิตตะนที ซึ่งเกิดจากมีเสมหะสะสมภายในและเกิดการอักเสบขึ้นมา
ให้ยาต้านฝีหนองร่วมกับยาลดการอักเสบ เมื่อการอักเสบยุติลงแล้วให้ยาต้านฝีหนองร่วมกับยากระตุ้นการไหลเวียนและยาระบาย ถ่าย ขับ ของเสียออกจากร่างกาย และให้ยาบำรุงร่างกายเพื่อเป็นการปรับธาตุ
๑.๒ . หากฝี ที่มีอาการปากท่อภายนอกปิด บวม แดง ปวด ร้อน เกิดจากการติดเชื้อระยะเฉียบพลัน มีไข้ หนาวสั่น อุจจาระแห้ง มีปัสสาวะสีเข้มแลน้อย ลิ้นแดง มีฝ้าเหลือง ชีพจรตึง เร็ว ลอย เป็นชีพจรปิตตะนที พิษร้อนแกร่ง ต้องรีบให้ยาลดการอักเสบ ร่วมกับยาต้านฝีหนอง ทุก ๔ ชั่วโมง เมื่อการอักเสบลดลง ก็ลดยาแก้อักเสบ เหลือวันละ ๓ เวลา และเมื่อการอักเสบหายแล้ว ให้งดยาแก้อักเสบ แต่ให้ยาต้านฝีหนองต่อไปและเข้าสู่การรักษาระยะที่ ๒
๑.๓. หากฝี ปากท่อภายนอกบุ๋ม แผลไม่สด น้ำหนองน้อยและไม่ร้อนไม่ปวด ร่างกายผอม มีไข้ต่ำ ๆ ช่วงบ่าย เหงื่อออกตอนกลางคืน ลิ้นแดง ฝ้าน้อย ชีพจรเล็ก เร็ว ไม่ลอย มักอยู่ลึก เป็นลักษณะเสมหะพร่องนที แสดงถึงความเสื่อมของร่างกาย เลือดน้อย ร่างกายมีภาวะขาดการบำรุง ให้ยาต้านฝีหนอง ยาบำรุงร่างกาย ยาระบาย ถ่าย ขับ พิษออกจากร่างกาย ให้ยากระตุ้นการไหลเวียน
๒. ระยะที่สอง เป็นการรักษาระยะยาว การรักษาฝีคัณฑสูตรจะให้ได้ผลเด็ดขาดต้องใช้เวลาพอสมควร ผู้ป่วยต้องมีความอดทนสูง และหมอต้องหมั่นคอยติดตามผลการรักษาอยู่เสมอ คอยปรับยาเป็นระยะ ๆ ต้องทำการปรับธาตุ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินการอยู่ที่เป็นปรปักษ์กับสุขภาพ และเอื้อให้เกิดฝีคัณฑสูตร ควบคู่ไปกับการฟื้นฟูร่างกาย การบำรุงร่างกาย การระบาย ถ่าย ขับ ของเสียหรือพิษออกจากร่างกายอยู่เสมอ เป็นระยะ ๆ
พฤติกรรมที่ต้องปรับเปลี่ยนของผู้ป่วยมีดังนี้
- อาหาร หลีกเลี่ยงอาหารที่แสลงกับธาตุ แต่ละคนจะมีอาหารแสลงไม่เหมือนกัน ต้องค้นหาให้พบ และหลีกเลี่ยงอาหารที่แสลงโรค ที่สำคัญคือ อาหารที่รสเผ็ดร้อน อาหารคาว อาหารหวาน อาหารมัน เหล้า บุหรี่
- อุจจาระ ต้องไม่ปล่อยให้เกิดภาวะท้องผูกเรื้อรัง ต้องถ่ายอุจจาระให้ได้วันละ ๒ ครั้ง
- ออกกำลังกาย ต้องหมั่นออกกำลังกายอยู่เสมอ เพื่อกระตุ้นระบบไหลเวียนของร่างกาย
- อิริยาบถ หลีกเลี่ยงสภาวะ นั่ง นิ่ง เนิ่นนาน
- อารมณ์ ควบคุมอารมณ์ให้เป็นปกติ ไม่โกรธหรือโมโหง่าย ฝึกการปล่อยวาง
- การพักผ่อน ต้องพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อฟื้นฟูภูมิต้านทาน ไม่หักโหมทำงานหนัก ห้ามยกของหนัก
หากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทำตามที่กล่าวมาได้รับรองว่าการรักษาฝีคัณฑสูตร หายแน่นอน และจะไม่กลับมาเป็นอีก
ขอบคุณภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
กลุ่มยาของคลินิกที่ใช้บรรเทาอาการฝีคัณฑสูตร ประกอบด้วย


ยาแก้ลมพฤกษเวช ยาบุพโพพฤกษเวช ยาต้านฝีหนอง
ผมเป็นฝีคัณฑพสูตรครับผม
ตอบลบ