กรดไหลย้อน


โดย  ยส  พฤกษเวช  
    
         โรคกรดไหลย้อน ในแพทย์แผนไทยเรียกว่า เป็นภาวะลมตีขึ้นเบื้องบน  ในแผนปัจจุบันหมายถึงภาวะที่มีน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรด ไหลย้อนขึ้นไประคายเคืองต่อหลอดอาหารและลำคอ ( น้ำย่อยไหลกลับ )

สาเหตุ  โรคกรดไหลย้อนเป็นกลุ่มอาการโรคที่เกิดขึ้นในระบบทาง เดินอาหาร พบมากในกลุ่มคนที่มีอายุมากกว่า ๔๐ ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีภาวะระบบทางเดินอาหารเสื่อมหรือหย่อนสมรรถภาพ  แพทย์แผนไทยเรียกว่า  “ กษัย ”  (  กษัย แปลว่า เสื่อม  )  ถ้าปล่อยทิ้งไว้อาการอาจลุกลามกลายเป็นโรคร้ายต่าง ๆ ตามมา เช่น มะเร็ง แต่ปัจจุบันพบในเด็ก และคนหนุ่มคนสาวในวัยทำงานมากขึ้น มีบ้างในกรณีเด็กทารกที่มีความผิดปกติโดยกำเนิดของหูรูดที่ยังเจริญได้ไม่เต็มที่
    
         ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อน คือ อาหาร  อากาศ  อารมณ์  อิริยาบถ  ขาดการออกกำลังกาย  ท้องผูกเรื้อรัง


อาหาร
  •  กินอาหารมากเกินไป  น้อยเกินไป 
  •  กินอาหารรสจัดเกินไป   รสจืดเกินไป 
  •  กินอาหารเน่า  อาหารบูด  อาหารหยาบ   อาหารดิบ  
  •  กินอาหารไม่เป็นเวลา            
  •  กินอาหารย่อยยาก  เช่น  ของมัน  ของผัด  ของทอด            
  •  กินยาที่มีผลต่อระบบทางเดินอาหารและลำไส้                  
  •  กินผลไม้ รสเปรี้ยว มากเกินไป                     
  •  ดื่มสุรา ชา กาแฟ น้ำอัดลม ชาเขียวแช่เย็น บุหรี่                            




อารมณ์
  • เครียด  โลภ  โกรธ  หลง วิตกกังวล  อาฆาตพยาบาท  อิจฉาริษยา       
อากาศ
  • กระทบร้อนกระทบเย็น บ่อย ๆ เป็นประจำ

อิริยาบถ
  • นั่งนิ่งเนิ่นนานเป็นประจำ เช่น  ทำงานใช้คอมพิวเตอร์เป็นประจำ
  • นั่งงอตัวระหว่างกินอาหารและหลังอาหาร เป็นประจำ ไม่รู้ตัว   มีผลให้กระเพาะอาหารและลำไส้ทำงานไม่เต็มที่  

ออกกำลังกาย
  • มีภาวะขาดการออกกำลังกาย

อุจจาระ
  • ท้องผูกเรื้อรัง ทำให้มีของเสียตกค้างอยู่ภายในลำไส้ ลำไส้อุดตัน เกิดแก็สพิษภายใน และขับออกลงล่างไม่ได้ จึงตีขึ้นเบื้องบน


อาการ
          ผู้ป่วยจะมีอาการปวดแสบตรงลิ้นปี่หรือยอดอกหลังกินอาหาร ๓๐ – ๖๐นาที บางรายอาจมีอาการปวดแสบร้าวจากยอดอกขึ้นไปถึงคอหอย หรืออาการจุกแน่นยอดอกคล้ายอาหารไม่ย่อย คลื่นไส้ หรือเรอบ่อย บางรายอาจมีอาการขย้อนหรือเรอเอาน้ำย่อยรสเปรี้ยวขึ้นไปที่คอหอย หรือรู้สึกมีรสขมของน้ำดี หรือรสเปรี้ยวของกรดในปากหรือคอ หายใจมีกลิ่น

ภาวะแทรกซ้อน
          หากปล่อยไว้เรื้อรังอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ พบบ่อยคือหลอดอาหารอักเสบ ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บหน้าอกเวลากลืนอาหาร หากไม่รักษาจะกลายเป็นแผลหลอดอาหาร มีเลือดออก เช่นอาเจียนเป็นเลือด ถ่ายดำ หากปล่อยไว้อาจเกิดภาวะหลอดอาหารตีบ กลืนอาหารลำบากอาเจียนบ่อย และมีโอกาสกลายเป็นมะเร็งหลอดอาหารได้
นอกจากนี้ โรคกรดไหลย้อนเป็นปัจจัยหนึ่งของการเกิดโรค ไซนัสอักเสบเรื้อรัง และผิวฟันกร่อนจากการกัดของน้ำย่อยเป็นเวลานาน

การรักษา
          โรคกรดไหลย้อนไม่ใช่โรคที่เกิดจากการติดเชื้อแต่เป็นโรคที่เกิดจากพฤติกรรมของผู้ป่วย ดังนั้นการรักษาที่สำคัญ จะต้องแก้ไข ปรับปรุงพฤติกรรมที่ก่อโรค เป็นสำคัญจึงจะหายขาด   การรักษาจะได้ผลดีต้องรู้ถึงสาเหตุของโรคแล้วแก้ที่สาเหตุของโรคไม่ใช่แก้ที่ผลของโรคหรืออาการของโรคเพียงด้านเดียว

แนวทางการรักษาและป้องกัน

๑. มีอาการระยะแรก  ให้ปรับปรุงพฤติกรรมของตน ในเรื่อง อาหาร อากาศ อารมณ์ อิริยาบถ ออกกำลังกาย อุจจาระ  ดังนี้

 อาหาร
  • กินอาหารให้พออิ่ม ไม่ใช่เกินอิ่ม
  • ไม่กินอาหารที่มีรสจัดและรสจืดเกินไป ให้กินอาหารรสชาติปานกลาง
  • กินอาหารให้เป็นเวลา
  • กินอาหารหลากหลายรสชาติ อาหารย่อยง่าย พวกพืชผัก ธัญญะพืช หลีกเลี่ยงอาหารย่อยยากไขมันสูง  หลีกเลี่ยงอาหารผัด อาหารทอด อาหารบูด อาหารเน่า อาหารหยาบ อาหารดิบ  
  • อาหารต้องใหม่ สด ปรุงเสร็จใหม่ๆ ไม่กินอาหารอุตสาหกรรมสำเร็จรูป เช่น บะหมี่สำเร็จรูป รสแซ่บ รสจัดต่าง ๆ
  • งดเหล้า บุหรี่ ชา กาแฟ ชาเขียวแช่เย็น น้ำอัดลม ควรดื่มน้ำเปล่าที่สะอาดและไม่แช่เย็น
  • หลีกเลี่ยงยา  ที่มีผลกระทบต่อระบบทางเดินอาหารและลำไส้

อารมณ์
  • รู้จักปล่อยวาง
  • ทำใจให้เป็นกลาง ๆ ไม่เครียด  ไม่โกรธอาฆาต พยาบาท ไม่อิจฉาริษยา
  • รู้จักการให้อภัย  มองโลกในแง่บวกอยู่เสมอ

อากาศ
  • หลีกเลี่ยงการกระทบร้อนกระทบเย็น
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ห้องแอร์เป็นเวลานาน ๆ โดยเฉพาะหลังอาหาร ไม่ควรเข้าห้องแอร์โดยทันที  ควรให้อาหารย่อยหมดในกระเพาะอาหารเสียก่อน  ประมาณ ๓๐ นาทีขึ้นไป
อิริยาบถ
  • หลีกเลียงอิริยาบถ นั่งนิ่งเนินนาน เป็นประจำ ควรหาโอกาสขยับร่างกายเคลื่อนไหวอยู่เสมอ เช่น ควรลุกจากที่นั่งทุก ๆ ชั่วโมง ทำตนเองให้กระฉับกระแฉงอยู่เสมอ
  • ไม่งอตัวหรือนั่งงอตัว โดยเฉพาะระหว่างกินอาหาร และหลังอาหาร 
  • ระหว่างกินอาหารและหลังอาหาร ควรนั่งตัวตรง ๆ ยืดตัวขึ้นเล็กน้อย เมื่อกินอาหารเสร็จแล้วไม่ควรนั่งอยู่กับที่ เด็ดขาด ควรลุกขึ้นยืนยืดตัวขึ้นเล็กน้อย เดินไปมา ประมาณไม่ต่ำกว่า ๓๐ นาที

ออกกำลังกาย
  • ต้องเป็นคนรักการออกกำลังกาย อย่างน้อย ๕ วันต่อหนึ่งอาทิตย์ และออกกำลังให้เหมาะสมกับสภาพร่างกาย ไม่ใช่ออกกำลังหักโหม เกินกำลัง

อุจจาระ
  •  อย่าปล่อยให้เป็นคนท้องผูก ต้องอุจจาระให้ได้อย่างน้อยวันละ ๑ – ๒ ครั้ง

๒.  หากมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง และมีภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น  เสียงแหบ ไอเรื้อรัง กลืนอาหารลำบาก คลำได้ก้อนในท้อง ถ่ายอุจจาระดำ เจ็บหน้าอกบ่อย อาเจียน น้ำหนักตัวลด ฯลฯ  ควรมาปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัย วางแผนการรักษา ที่สำคัญอย่าซื้อยามารักษาตัวเองโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์นะครับ


ขอบคุณภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

1 ความคิดเห็น: