โดย ยส พฤกษเวช
ในทัศนะแพทย์แผนไทย เรียกว่า ประดงข้อ หรือประดงเข้าข้อ เป็นภาวะน้ำไขข้อพิการ ในตำราหัตถเวชกรรมแผนไทย ( นวดแบบราชสำนัก ) จะตรงกับโรคลมลำบอง ซึ่งเกิดจากอาหารและอากาศ มีสภาวะของการติดขัดคั่งค้างของเลือด (มีพิษ) น้ำไขข้อ (เสมหะ) ทำให้การไหลเวียน ( วาตะ ) ติดขัด สะสมคั่งค้างพอกพูน จึงเกิดความร้อน (ปิตตะ) อักเสบ บวม แดง ร้อน ทำให้เกิดการตีบตันของเส้น (นหารู) แล้วส่งผลให้กล้ามเนื้อลีบและข้อพิการ จนใช้งานไม่ได้ นอกจากนี้พิษที่สะสมอยู่ จะไหลเวียนไปตามกระแสโลหิตเข้าสู่ระบบน้ำเหลือง ทำให้ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ ภูมิคุ้มกันจึงต่ำลง ส่งผลให้เกิดโรคร้ายต่าง ๆ ตามมา
อาการ ผู้ป่วยส่วนมากจะมีอาการค่อยเป็นค่อยไป ด้วยอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อและกระดูกนำมาก่อน นานเป็นสัปดาห์ เป็นเดือน แล้วต่อมาจึงมีอาการอักเสบของข้อปรากฏให้เห็น
ส่วนน้อยอาจมีอาการของข้ออักเสบเกิดขึ้นฉับพลัน ภายหลังได้รับบาดเจ็บ เป็นโรคติดเชื้อ หลังผ่าตัด หลังคลอด หรืออารมณ์เครียด ซึ่งบางรายอาจมีอาการไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต ม้ามโตร่วมด้วยข้อที่เริ่มมีอาการอักเสบก่อน ได้แก่ ข้อนิ้วมือ นิ้วเท้า ข้อมือ ข้อเท้า ข้อเข่า ต่อมาจะเป็นที่ข้อไหล่ ข้อศอก ผู้ป่วยจะมีลักษณะจำเพาะ คือ มีอาการปวดข้อ พร้อมกันและคล้ายคลึงกันทั้ง ๒ ข้าง และข้อจะบวม แดง ร้อน นิ้วมือ นิ้วเท้า จะบวมเหมือนรูปกระสวย ต่อมาอาการอักเสบจะลุกลามไปทุกข้อทั่วร่างกาย ตั้งแต่ข้อ ขากรรไกร ลงมาที่ต้นคอ ไหปลาร้า ข้อไหล่ ข้อศอก ข้อมือ ข้อนิ้วมือ ลงมาจนถึงข้อเท้าและข้อนิ้วเท้า
อาการเริ่มเป็นใหม่ ๆ จะมีอาการปวดข้อและข้อแข็ง ( ขยับลำบาก ) มักจะเป็นมากในช่วงตื่นนอนหรือตอนเช้า ทำให้รู้สึกขี้เกียจ หรือไม่อยากตื่นนอน พอสาย ๆ หรือหลังมีการเคลื่อนไหวของร่างกาย อาการจะทุเลา บางรายอาจมีอาการปวดข้อตอนกลางคืน จนนอนไม่หลับ อาการปวดข้อจะเป็นอยู่ทุกวัน และมากขึ้นนานเป็นแรมเดือนแรมปี โดยมีบางระยะอาจทุเลาไปได้เอง แต่จะกลับกำเริบรุนแรงขึ้นอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะมีความเครียดหรือขณะตั้งครรภ์
นอกจากนี้ผู้ป่วยบางรายยังอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ภาวะโลหิตจาง ฝ่ามือแดง มีผื่นหรือตุ่มขึ้นตามผิวหนัง อาการปวดชาปลายมือ จากภาวะเส้นประสาทมือถูกพังผืดรัดแน่น อาการนิ้วมือ นิ้วเท้าซีดขาว และเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำเวลาถูกความเย็น ต่อมน้ำเหลืองโต ม้ามโต ตาอักเสบ หัวใจอักเสบ หลอดเลือดแดงอักเสบ ปอดอักเสบ ภาวะมีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอด ไข้ต่ำ ๆ น้ำหนักลด เป็นต้น
สาเหตุ เหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคปวดข้อรูมาตอยด์ มีเหตุปัจจัยหลายอย่างร่วมกันมาอย่างต่อเนื่อง ดังนี้คือ
๑ ) เป็นไข้พิษ ไข้กาฬ เรื้อรัง ในปัจจุบันคนเป็นกันมาก แต่หมอแผนปัจจุบันไม่รู้จัก ทำให้ขาดการรักษาอย่างถูกวิธี ส่งผลให้เกิดการสะสมโรคอยู่ภายใน ทำให้โลหิตเป็นพิษ มีพิษสะสมเรื้อรังอยู่ในเลือดและเสมหะ และไหลเวียนไปทั่วร่างกาย ไข้พิษ ไข้กาฬ ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ตักศิลา
ในคัมภีร์ตักศิลา ได้อธิบายการรักษา ไข้ประดง ( ไข้กาฬแทรกไข้พิษ ) ซึ่งมีข้อความบางตอน ใกล้เคียงกับการเกิดโรค ปวดข้อรูมาตอยด์ ดังนี้ ....... วางยาดับพิษ กระทุ้งพิษ อย่าให้พิษกลับเข้ากระดูกได้ ให้ออกจากร่างกายให้หมดสิ้น ถ้าออกไม่หมด ทำพิษคุดในข้อในกระดูก กลับกลายเป็นโรคเรื้อน โรคพยาธิ ลมจะโป่ง ลมประโคมหิน บวมทุกข้อทุกลำ มีพิษไหวตัวมิได้...
๒ ) อิริยาบถ คนไข้มักมีอิริยาบถ นั่ง นิ่ง เนิ่นนาน สะสมเรื้อรัง
ทำให้เกิดการติดขัดของระบบไหลเวียน
๓ ) ขาดการออกกำลังกายอย่างรุนแรง ทำให้ขาดการกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือด กล้ามเนื้อไม่แข็งแรง ระบบการไหลเวียนเลือดต้องอาศัยระบบการทำงานของกล้ามเนื้อที่แข็งแรงด้วย มิใช่อาศัยการทำงานของหัวใจเพียงอย่างเดียว
๔ ) อาหาร โดยเฉพาะอาหารที่แสลง หรืออาหารที่ไม่ถูกกับธาตุ ซึ่งจะเป็นพิษและสะสมเรื้อรังเรื่อยมา
๕ ) มลพิษจากสิ่งแวดล้อม อากาศที่เป็นพิษ ถูกสูดดมเข้าระบบทางเดินหายใจ และพิษได้สะสมอยู่ภายในเลือด ในตับ ไต เรื้อรังเรื่อยมา
๖ ) พิษที่สะสมอยู่ภายในร่างกายโดยเฉพาะในระบบทางเดินอาหาร จะถูกดูดซึมกลับเข้าสู่กระแสเลือด สะสมเรื้อรังเรื่อยมา โดยมักมีภาวะท้องผูกเรื้อรังร่วมด้วย
๗ ) พิษในโลหิตระดูสตรีที่ไม่ได้ถูกขับออกตามปกติ ในทัศนะแพทย์แผนไทย โลหิตระดูสตรี เป็นโลหิตมีพิษ ที่จะต้องถูกขับออกจากร่างกายเป็นประจำทางทวารมดลูก เดือนละครั้ง ที่เรียกว่า ประจำเดือน หากมีเหตุให้โลหิตระดู ไม่ถูกขับออกตามปกติ ทำให้เกิดการสะสมพิษ และถูกดูดซึมเข้ากระแสโลหิต เกิดการสะสมพิษเรื้อรังเรื่อยมา
๘ ) พิษจากน้ำคาวปลา จากการคลอดบุตรที่ไม่ได้อยู่ไฟ และขับน้ำคาวปลา ทำให้พิษสะสมอยู่ภายใน ส่งผลให้โลหิตเป็นพิษตามมา
๙ ) อารมณ์เครียด วิตกกังวล เป็นเหตุปัจจัยเสริมมากระตุ้น ให้เกิดภูมิต้านทานต่ำลง
๑๐ ) ท้องผูกเรื้อรัง เป็นปัจจัยให้เกิดการสะสมพิษในระบบทางเดินอาหาร
แนวทางการรักษา
โรคปวดข้อรูมาตอยด์ แพทย์แผนไทยสามารถรักษาได้ครับ แต่ต้องใช้เวลาในการขับพิษ กระทุ้งพิษออกให้หมดให้สิ้น และการวางแผนการรักษา เพราะผู้ป่วยแต่ละคนมีเหตุปัจจัยไม่เหมือนกัน ที่สำคัญควรต้องรักษาแต่ในระยะแรก ๆ ที่โรคยังอ่อนอยู่ หากให้ลุกลามนานเข้า หรือรักษาผิดวิธี ก็จะยากต่อการรักษาครับ
แนวทางการรักษาทั่ว ๆ ไปมีดังนี้
- ระบาย ถ่าย ขับ กระทุ้งพิษออกจากร่างกาย
- สะลายลิ่มเลือด ลิ่มเสมหะ ที่บริเวณข้อ เพื่อทุเลาอาการ ปวด บวม แดง ร้อน ให้ข้อขยับง่ายขึ้น
- กระตุ้นการไหลเวียนเลือด ด้วยการบริหาร ขยับข้อ เบา ๆ บ่อย ๆ และใช้ยากระตุ้นการไหลเวียนโลหิตร่วมด้วย
- ล้างพิษในเลือด ฆ่าเชื้อในเลือด ฆ่าเชื้อในระบบน้ำเหลือง
- บำรุงเลือด บำรุงตับ ไต
- ให้ยาเสริมภูมิต้านทาน
- นวดอาทิตย์ละ ๒ ครั้ง เพื่อกระตุ้นการไหลเวียน ฟื้นฟูกล้ามเนื้อ
- ออกกำลังกาย กายบริหารเบา ๆ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อฟื้นฟูกล้ามเนื้อ
- งดของแสลง
- ควบคุมอารมณ์ ไม่เครียด ไม่วิตกกังวล
การรักษาหากคนไข้ให้ความร่วมมือ และมีความอดทน การรักษาก็จะได้ผลดีขึ้นและเร็วขึ้นด้วยครับ
ขอบคุณภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น